เครื่องสำรองไฟ หรือ UPS มีความสำคัญมากสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิก เพราะจะช่วยในเรื่องของไฟฟ้าตก ไฟฟ้ากระชาก มีบ้างท่านบอกว่าไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องสำรองไฟ แต่เป็นความคิดที่ผิด ในการใช้งานเราไม่สามารถคาดคะเนว่าเหตูการไฟฟ้าขัดข้องจะเกิดเมือไร ทางที่ดีเราควรที่มีไว้ใช้สำหรับอุปกรณ์สำคัญ เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์เซิฟเวอร์ , สวิตซ์ และอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้ไฟฟ้าทำงาน
เรามารู้จักหน้าที่ของเครื่องสำรองไฟ หรือ UPS กันดีกว่า
พลังงานไฟฟ้าจะไหลผ่านตรงไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้า โดยมีเพียงวงจร RFI Filtering เท่านั้นที่จะช่วยกรองสัญญาณรบกวน และเมื่ออยู่ในสภาวะไฟฟ้าดับ หรือไฟฟ้าตกหรือเกินจากค่าที่กำหนด เช่น (220+/-15%) วงจรควบคุมภายในเครื่อง UPS จะตรวจพบและสั่งการให้วงจร DC/AC Inverter ทำงาน (Inverter Mode/Battery Mode) เพื่อแปลงไฟฟ้า (DC) จากแบตเตอรี่ให้กลายเป็นไฟฟ้าสลับ (AC) เพื่อจ่ายให้กับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่อไป *โดยรูปคลื่นไฟฟ้าสลับจากวงจรอินเวอร์เตอร์นี้ อาจจะเป็นรูปคลื่นแบบรูปสี่เหลี่ยม(Step wave) หรือเป็นรูปคลื่นแบบไซน์เวฟ (Sine wave) เช่นเดียวกันกับรูปคลื่นไฟฟ้าแบบปกติของการไฟฟ้าแห่งประเทศไทย หลังจากนั้นหากไฟฟ้าจากการไฟฟ้ากลับมาสู่สภาวะปกติ วงจรควบคุมภายในเครื่อง UPS ก็จะสั่งการให้ Switch กลับมาเชื่อมต่อโดยตรงกับแหล่งไฟฟ้าจากการไฟฟ้า เพื่อจ่ายไฟฟ้าให้กับอุปกรณ์ต่อไป ทั้งนี้ในระหว่างการโอนย้าย Switch จะมีรูปคลื่นไฟฟ้าขาดหายไปประมาณ 2 ms ซึ่งจะเรียกว่า Transfer Time ข้อดี
- ต้นทุนต่ำราคาถูก
- ขนาดเล็ก เสียงเงียบเมื่ออยู่ใน Standby mode
- ประสิทธิภาพสูง
ข้อเสีย
- ป้องกันอุปกรณ์ไฟฟ้าให้ปลอดภัยจากสภาวะไฟฟ้า Spike, Surgeได้จำกัด
- ควบคุมแรงดันไฟฟ้าที่จ่ายให้อุปกรณ์ได้จำกัด จะได้ประมาณ +/- 10~15 %
- ไม่สามารถรับแรงดันไฟฟ้าด้านขาเข้าได้กว้าง ปกติจะได้ประมาณ +/- 10~15%
- มีรูปคลื่นไฟฟ้าขาดหายไปประมาณ 2 ms ในระหว่างโอนย้ายจากการจ่ายไฟฟ้าปกติไปยังแหล่งจ่ายแบตเตอรี่
- ไม่มีระบบสำรองในกรณีที่ Inverter เสีย หรือ อุปกรณ์กินไฟฟ้ามากกว่าปกติในชั่วขณะ
วันที่ 22 มิถุนายน 2555
ขอบคุณรูปภาพประกอบจาก ruamhua.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น